Burn Out เมื่อคนหมดใจ เมื่อไฟหมดแรง


ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆของหลายๆคนและหลายๆองค์กร ซึ่งหมอมีโอกาสได้เข้าไปให้คำปรึกษาทั้งในระดับของตัวบุคคลและระดับบริษัทอยู่บ่อยครั้ง ปัญหาหนึ่งที่มีผู้เข้ามาปรึกษามากที่สุดคือเรื่องภาวะหมดไฟ หรือ Burn Out นั่นเอง ซึ่งถือเป็นภาวะที่มีหลายๆคนทราบว่ามีอยู่ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจมันดีนัก วันนี้หมอเลยจะขอมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง Burn Out เพื่อให้ทุกคนได้ลองไปประเมินตนเอง สังเกตคนรอบข้างที่เราห่วงใย และ เรียนรู้ที่จะป้องกัน หรือหาทางรักษาหากเรากำลังเป็นอยู่ หรือเสี่ยงที่จะเป็นภาวะดังกล่าว

Burn Out คืออะไร
Burn Out Syndrome เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นกับทั้งทางร่างกายและจิตใจ (ส่วนใหญ่เป็นทางด้านจิตใจมากกว่า) ที่เกิดขึ้นจากการความเครียด ในการทำงาน หรือการต้องรับภาระงานที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่ประสบภาวะดังกล่าวรู้สึกไม่มีความสุข ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง จนถึงขนาดเลวร้ายที่สุดคือ นำไปสู่การเกิดโรคทางจิตเวชอื่นๆที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

Burn Out เกิดได้อย่างไร
ส่วนใหญ่สาเหตุของ Burn Out มาจากการทำงาน ซึ่งหากจะแยกปัจจัยที่เป็นต้นเหตุอาจจะแบ่งออกได้เป็น
ปัจจัยที่มาจากฝั่งของงาน

  • ภาระงานที่มากเกินไป
  • การวางระบบงานที่สับสน ไม่มีขอบเขตหน้าที่ที่ชัดเจน ทำให้ไม่รู้ว่าตนเองต้องทำอะไร แค่ไหน ถึงจะเหมาะสม
  • การพิจารณาความดีความชอบ หรือการประเมินผลงานที่ไม่ชัดเจน ผู้ปฏิบัติงานไม่รู้ว่าตนเองจะถูกประเมินผลงานจากอะไรบ้าง บางครั้งรู้สึกเหมือนทำอะไรไปก็ไม่มีความหมาย ไม่มีตัวตนในบริษัท
  • การขาดระบบการ support ในการทำงาน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่ง
  • การต้องทนทำงานที่ขัดต่ออุปนิสัย คุณค่า และจุดมุ่งหมายในชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน
  • งานบางชนิดที่โดยธรรมชาติของงานมีความเครียดสูง

ปัจจัยที่มาจากฝั่งของผู้ปฏิบัติงาน

  • ขาดการจัดสมดุลในการทำงานและการใช้ชีวิต ( Work-Life Balance )
  • มีความจริงจัง คาดหวังในการทำงานมากเกินไป ทำอะไรก็ต้องการให้ออกมาสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้องใช้เวลาและพลังงานไปกับการทำงานมากจนเกินไป
  • บุคลิกภาพที่ไม่ยืดหยุ่น ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ๆไม่ค่อยได้
  • ไม่ค่อยมีทักษะในการจัดการความเครียด
  • คนที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือ มีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้ไม่มีคน support ในเวลาที่ได้รับความกดดันมาจากฝั่งที่ทำงาน

ถ้าจะสรุปให้เข้าใจง่ายๆให้เห็นภาพกันชัดๆคือ ถ้าเปรียบพลังงานชีวิตของคนเราเป็นน้ำที่ใส่อยู่ในเหยือกอันหนึ่ง บางคนมีต้นทุนมาดี มีน้ำอยู่เยอะ ก็เหมือนคนที่มีพื้นฐานสุขภาพจิตที่ดี มีความคิดที่ยืดหยุ่น รู้จักหาวิธีในการจัดการความเครียดได้ดี บางคนโชคดีกว่านั้น คือการมีคนข้างหลังคอย support เรา เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง ก็หมือนมีคนคอยเอาน้ำมาเติมให้เราได้เวลาของขาด

น้ำในเหยือกนี้จะถูกใช้ไปเรื่อยๆเวลาที่เราทำงาน และจะได้รับการเติมเข้ามาเวลาที่เราได้พักผ่อน หรือทำอะไรที่ผ่อนคลาย ดีต่อใจ (เหมือนรถที่ขับๆไปก็ต้องคอยเติมน้ำมัน)

ทีนี้สมดุลของน้ำเข้าน้ำออกนี่แหละ ที่เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราใช้พลังกับการทำงานไปมาก (เพราะงานมันหนักมาก เครียดมาก หรือเราจะเอาความ Perfect มากๆ ) และน้ำที่จะเติมเข้ามามันไม่ทันกัน เราก็จะเจอกับภาวะ “ของขาด” ซึ่งก็จะนำไปสู่ ภาวะ Burn Out นั่นเอง

ฝรั่งคนคิด Burn Out เค้ามองอีกแบบ แทนที่จะเป็นน้ำ เค้ามองเป็น ”ไม้ฟืน” แทน แต่ก็หลักการเหมือนกันคือ วันไหนเผาไปมาก ฟืนมันหมด เติมไม่ทัน วันนั้นก็ “หมดไฟ” ไงครับ

Burnout มีความสำคัญแค่ไหน
จากข้อมูลในต่างประเทศพบภาวะนี้ได้ประมาณ 15-50% ของคนทำงาน ในอังกฤษพบจำนวนผู้ป่วย กว่า 5 แสนคน ทำให้เกิดการสูญเสียวันทำงานไปถึง 12.5 ล้านวันต่อปี เพราะ Burn Out ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตของพนักงาน ในทางกายพบว่าคนที่ burnout จะลาป่วยมากกว่าคนทั่วไปถึง 2-7 เท่า ส่วนในด้านสุขภาพทางจิตใจพบว่าคนที่ burnout มักจะมีอารมณ์ที่แปรปรวน โกรธง่าย ขี้หงุดหงิด และสุดท้ายหากเป็นมากๆ ก็จะเป็นโรคซึมเศร้าได้

ในแง่ที่กระทบกับการทำงานก็คือ คนเหล่านี้จะมีสีหน้าไม่รับแขก ซึ่งก็มักจะก่อให้เกิดปัญหาทั้งกับผู้ร่วมงานและลูกค้า ไม่มีความกระตืนรือร้นในการทำงาน ขาดความคิดสร้างสรร ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กรแย่ลง และมักนำไปสู่การลาออกของพนักงานด้วย

วงจรของ Burn Out
Burn Out ไม่ใช่ภาวะที่อยู่เฉยๆก็เกิดขึ้นเองได้ แต่มันจะมีพัฒนาการของมันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาทำงานใหม่ๆ หรือเรียกว่าช่วงไฟแรง แล้วมีการเดินทางไปเรื่อยๆ ในแต่ละระยะจะมีทางแยกให้เราเลือก ซึ่งหากเราเลือกทางที่ไม่ถูกต้องก็จะพาเราไปสู่ความหมดไฟในที่สุด

  1. ระยะพิสูจน์ตนเอง (compulsion to prove oneself) เมื่อเริ่มงานใหม่ แต่ละคนจะมีภาพของตัวเอง และองค์กรในอุดมคติ ที่ต้องการจะพิสูจน์ตนเอง เพื่อให้เพื่อนร่วมงานหรือองค์กรตระหนักถึงตนเอง ว่ามีความเหมาะสมคู่ควรกับองค์กร
  2. ระยะทำงานหนัก (working harder) ในการพิสูจน์ตัวเองมีหลายทางให้เลือก แต่คนจำนวนหนึ่งจะคิดว่าตนเองจะต้องทำงานให้หนัก เพื่อที่จะแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่สามารถหาคนอื่นมาทดแทนได้ ทุ่มเทและสนใจแต่กับการทำงาน
  3. ระยะไม่ใส่ใจความต้องการของตนเอง (neglecting their needs) เมื่อทำการทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างมากจนเรียกได้ว่า“บ้างาน” ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบกับชีวิตส่วนตัวบ้าง คนที่ในอนาคตจะเป็น Burn Out นั้น มักจะเริ่มเลือกที่จะละเลยความต้องการพื้นฐานของตนเอง เช่น ไปเที่ยวน้อยลง หอบงานไปทำที่งาน เสาร์-อาทิตย์ก็ยังทำงาน นอนน้อย ทำงานจนดึกดื่น ใช้เวลากับเพื่อนฝูงหรือครอบครัวน้อยลง
  4. ระยะเริ่มเกิดความขัดแย้ง (displacement of conflicts) เมื่อทุ่มเทกับงานละเลยชีวิตส่วนตัวไปถึงจุดหนึ่ง จะเริ่มรู้สึกว่าชีวิตของตนเองมันมีบางอย่างที่ “ไม่ปกติ” เช่นเริ่มมีอาการเจ็บป่วยบ่อยๆ นอนไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งบางคนถ้ารู้ตัวแล้วถอยกลับมา ก็จะดีขึ้น แต่บางคนก็ยังเลือกที่จะเดินไปต่อในเส้นทางของงาน
  5. ระยะปรับคุณค่าใหม่ (revision of values) เมื่อความรู้สึกขัดแย้ง สับสนในตัวเองดำเนินมาระยะหนึ่ง ทำให้ต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่มี "คุณค่า" มากกว่ากัน ซึ่งคนที่จะ burnout จะมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ “งาน” ทำให้ยิ่งละเลยความต้องการพื้นฐานของร่างกายและความสัมพันธ์อื่นๆ ไปจนหมดสิ้น
  6. ระยะปฏิเสธไม่รับรู้ปัญหา (denial of emerging problems) เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในใจตนเองคนที่ burn out จะเริ่มไม่สนใจหรือไม่รับรู้เรื่องอารมณ์ และเริ่มแสดงอาการบางอย่างของ burnout ออกมาให้เห็น เช่น ขาดความอดทน โกรธง่าย ดูก้าวร้าว มักจะต่อว่าหรือโทษคนอื่น โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นตัวเองนั่นแหละที่เปลี่ยนแปลงไป
  7. ระยะแยกตัว (withdrawal) พอเริ่มที่จะอยู่กับคนอื่นไม่ค่อยได้ เพราะอารมณ์ที่ไม่มั่นคง คนที่ burn out จะเข้าสังคมน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำงานโดยแทบไม่มีความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงาน ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน ทำงานแบบยึดติดกับกฏอย่างเคร่งครัด ไม่ทำเกินกว่านั้นแม้ว่าจะทำให้ผลงานดีขึ้นหรือเป็นประโยชน์กับองค์กรก็ตาม
  8. ระยะพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง (obvious behavioral changes) เมื่อแยกตัวจากคนอื่นไปนานๆ ก็จะมีพฤติกรรมที่แปลกแยกมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง คนภายนอกจะสามารถสังเกตเห็นความแปลกได้อย่างชัดเจน จากคนที่เคย ร่าเริง มีความสุข กลายเป็นคนเก็บตัว หงุดหงิด ฉุนเฉียว ดูทุกข์ และไม่ค่อยดูแลตัวเอง
  9. ระยะขาดความเป็นบุคคล (depersonalization) เข้าใจง่ายๆเลยคือทำตัวเป็นเหมือนหุ่นยนต์ ทำงานเดิมๆ แบบให้จบไปวันๆ ไม่ยินดียินร้าย ไม่อยากได้ใคร่ดีกับเรื่องใดๆ
  10. ระยะว่างเปล่าภายใน (inner emptiness) ในระยะนี้ผู้ที่เป็น burn out จะรู้สึกว่าภายในใจตัวเองว่างเปล่า ซึ่งคนโดยทั่วไปย่อมไม่อยากทนอยู่ในสภาพนี้ จึงต้องแสวงหาอะไรที่จะมากระตุ้นให้ชีวิตตนเอง มีรสชาด มีสีสัน ซึ่งกิจกรรมบางอย่างที่ต้องใช้ความพยายามหรือต้องทุ่มเทเวลาให้ คนที่ burn out ก็จะไม่ค่อยอยากไปทำ เพราะคิดว่าจะทำให้เสียเวลาทำงาน ทำให้คนพวกนี้อาจหันเหไปทำกิจกรรมอื่นที่ได้รับความสุข แบบรวดเร็ว ฉาบฉวย แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น มีเพศสัมพันธ์ไม่เหมาะสม ดื่มเหล้าหรือใช้ยาเสพติด
  11. ระยะซึมเศร้า (depression) ระยะนี้อาการจะเหมือนกับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเลยครับ ลองไปอ่านเพิ่มเติมในบทความที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าดูนะครับ
  12. ระยะ burnout syndrome สุดปลายเส้นทาง ผู้ป่วยมักจะทนรับสภาพที่เป็นอยู่ไม่ไหว อยากหนีจากสถานการณ์ที่ประสบอยู่ เช่น ลาออก หรือหนีไปไม่มาทำงานดื้อๆ บางคนอาจถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย

อาการเด่นๆของ Burn Out

  1. ความเหนื่อยหน่ายด้านอารมณ์ (emotional exhaustion) ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อย เบื่อ เซ็ง อ่อนเพลีย ไม่กะตือรือร้นในการทำงาน คือใจมันเหนื่อย ทั้งๆที่ไม่ได้ไปออกกำลังกายที่ไหน
  2. การลดความเป็นคน (depersonalization) ทำตัวเหมือนไม่ใช่คน ก็คือเป็นหุ่นยนต์นั่นเอง ดูไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่ยินดียินร้าย ปฏิบัติกับคนรอบข้างอย่างแห้งแล้ง แข็งๆ ไม่มีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  3. การลดความสำเร็จส่วนบุคคล (decreased occupational accomplishment) รู้สึกว่าตัวเองไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีความสามารถ และมองตัวเองในแง่ร้าย ไม่มีความทะเยอทะยาน บางคนอาจจะใช้คำยอดฮิตที่ว่า “ขาด passion”

อาการอื่นๆที่อาจเกี่ยวข้อง

มีอาการอีกมากมายที่อาจจะเกี่ยวข้อง หรือเป็นสัญญาณของภาวะ Burn Out ได้ด้วย

ปวดเรื้อรัง ; เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดต้นคอ

นอนไม่หลับ

อารมณ์ ; โกรธง่าย หงุดหงิด หดหู่

พฤติกรรม ; ไม่กะตือรือร้น เหวี่ยง ก้าวร้าวกับคนรอบข้าง

การทำงาน ; ประสิทธิภาพลดลง ไม่มีสมาธิ ทำงานผิดพลาด ขาดงาน มาสาย ลาบ่อย ไม่รับผิดชอบ

จะป้องกันการเกิด Burn Out ได้อย่างไร
หากสาเหตุมาจากทั้งฝั่งที่ทำงานและตัวบุคคล การป้องกันก็ต้องแยกออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นกัน

การปรับในส่วนบุคคล

  • เรียนรู้วิธีจัดการเมื่อเกิดความเครียด
  • มีเทคนิคในการจัดการความเครียดที่หลากหลาย
  • มีวิธีคิดที่ยืดหยุ่นในการจัดการกับปัญหา
  • รู้จักขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
  • จัดสมดุลชีวิตกับการทำงาน (Work Life Balance ) ให้เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่ หมอจะขอยกยอดไปพูดเรื่องนี้เต็มๆอีกที ในคราวหน้านะครับ

การปรับในระดับองค์กร

  • มีโครงสร้างการทำงานที่ดี ภาระงานเหมาะสม
  • มีการบริหารจัดการที่ดี แต่ละคนมีขอบเขตหน้าที่ที่ชัดเจน
  • สร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี ความเป็นมิตร ช่วยเหลือกัน การทำงานเป็นทีม
  • สนับสนุนให้พนักงานมี Work Life Balance ที่ดี มีเวลาพักผ่อน เวลาสำหรับการไปพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ

ถ้า Burn Out เกิดขึ้นกับเรา จะทำอย่างไร
จากวงจรของการ Burn Out ที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ หากพบว่าตนเองอยู่ในประมาณระยะที่ 7 ขึ้นไปควรเริ่มปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะที่10-12 เป็นระยะที่ควรไปพบจิตแพทย์อย่างเร่งด่วน ซึ่งการรักษาก็จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง ในระยะท้ายๆการรักษาจะคล้ายกับการรักษาของโรคซึมเศร้าที่จะต้องมีการกินยากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนในระยะแรกนั้นๆ การรักษาอาจเน้นไปที่การปรับวิธีคิด และปรับลักษณะการทำงานให้ได้สมดุลมากขึ้น ตามที่กล่าวถึงไปในหัวข้อเรื่องการป้องกัน




Credit :

ปรึกษาแนวทางการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางและนัดหมายแพทย์

ช่องทางการติดต่อ · โทรศัพท์: 090-959-9304 · LINE: @JOYOFMINDS