ตอบคำถามคาใจ เรียนอะไรดี


หนึ่งในคำถามคลาสสิคที่น้องๆวัยรุ่นวัยเรียนมักจะถูกถามบ่อยๆคือ อยากเรียนอะไร? บางคนอาจจะตอบได้ในทันที แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะต้องขอเวลานอกกลับไปนั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด ก็อาจจะยังไม่เจอในสิ่งที่ชอบ ไม่เจอในสิ่งที่ใช่ แล้วจะทำไงดี?

ระบบการเรียนส่วนมากต้องเลือกสายการเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย สายวิทย์ สายศิลป์ สายคำนวณ โดยที่บางทีเรายังไม่รู้เลยว่าสายที่เลือกจะพาเราไปที่ไหน
พอเลือกสายแล้วจะเปลี่ยนสายก็ลำบาก บางวิชาเรียนไปไม่ได้ใช้ เรียนไปท้อไปเครียดไป…อยากสิหล่องไห้

น้องๆบางส่วนตั้งธงมาตั้งแต่ประถมว่าจะเข้าคณะนั้นๆที่ใฝ่ฝัน แต่ก็มีน้องๆอีกหลายส่วนที่ยังไม่รู้จักตัวเอง สับสน ไม่รู้จะเรียนอะไรดี เลือกคณะตามที่คนอื่นบอกหรือจิ้มมั่ว ๆ ขอแค่ติดสักที่ พอเข้าไปเรียนแล้วอาจไม่ชอบ หมดแพสชั่น อิหยังวะ ซิ่วแล้วซิ่วอีก หรือกัดฟันเรียนไปทั้งน้ำตา

หากได้รู้ว่าตัวเองชอบและถนัดอะไรก่อนที่จะเลือกคณะเรียนน่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะ!!

การที่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจโดยอาศัยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ช่วย และได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้เห็นภาพว่าอย่างน้อย 4 ปีที่เรียน เราน่าจะไปอยู่ที่คณะไหน

“หลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์” ที่พูดถึงนั้นประกอบด้วย

  • 1 การตรวจวัดระดับสติปัญญา (IQ test)
  • 2 การตรวจประเมินความถนัดทางการเรียน (อ่าน/เขียน/คำนวณ)
  • 3 การดูความชอบทางอาชีพ (career test)


การตรวจวัดระดับสติปัญญา (IQ test)

เป็นการตรวจวัดไอคิวที่สามารถบอกระดับสติปัญญา โดยปกติไอคิวจะอยู่ที่ 90-110 โดยใช้แบบทดสอบวัดไอคิวที่มีมาตรฐาน ทำโดยนักจิตวิทยาที่ได้รับการฝึกฝน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ

รูปแบบการทดสอบวัดไอคิว คือ มีการทำแบบทดสอบ และถามตอบโดยพี่ๆนักจิต หลังจากนั้นนักจิตวิทยาจะนำคำตอบไปประมวลผลแปลค่าคะแนนออกมา

ข้อดีของการวัดไอคิวนอกจากจะรู้ว่ามีระดับสติปัญญาเท่าไร ผลการทดสอบยังมีการบอกความสามารถด้านต่าง ๆ เช่น ความจำในการเรียนรู้ (working memory), ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (processing speed), ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ (visuospatial skills)

เช่น น้องๆมีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ (visiospatial skills) ต่ำ คือกะระยะไม่ค่อยถูก (กว้าง/ยาว/ลึก) นึกภาพเป็นสามมิติไม่ได้ การเรียนด้านสถาปัตย์ที่ต้องใช้ทักษะด้านนี้เยอะอาจไม่เหมาะ หรือหากสอบติดเข้าไปเรียนได้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

การตรวจประเมินความถนัดทางการเรียน

ความถนัด (skills) เช่น การอ่าน/เขียน/คำนวณ, ดนตรี, ศิลปะ, กีฬา แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน มีบางคนที่ระบบสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการอ่านเขียนคำนวณทำงานได้ไม่ดี (เหมือนไอโฟนที่ไม่ได้ลงแอพนี้มา) ทำให้มีปัญหาการเรียน เรียกว่า “โรคบกพร่องทางการเรียนรู้เฉพาะด้าน” (Specific Learning disorder- SLD) แม้จะมีระดับไอคิวที่ปกติ มีความสามารถหลายอย่าง แต่จะมีปัญหาการเรียนวิชาที่เกี่ยวกับทักษะด้านที่บกพร่อง เช่น เก่งวิชาอ่านเขียนทำได้หมด ตกแต่เลข

การดูความชอบทางอาชีพ

เชื่อว่าการที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบถือเป็นสุดยอดความฝัน น้องบางคนรู้ตัวมาตลอดว่าตัวเองชอบและอยากเห็นชีวิตตัวเองได้ทำงานแบบไหน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจตัวเองได้ การทำแบบทดสอบความชอบทางอาชีพ (career test) เป็นแบบทดสอบที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเราชอบงานประมาณไหน

แต่…..ไม่จำเป็นว่าผลการทดสอบออกมาแล้วเราต้องเรียนคณะตามนั้น เพราะบางคนอยากทำงานอาชีพหนึ่งด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วนเรื่องที่ชอบเก็บไว้ทำเป็นงานอดิเรกก็ได้ เช่น ผลทดสอบออกมาว่าเราเหมาะกับอาชีพนักแสดง/พิธีกร แต่ถ้าเราอยากจะเรียนแพทย์ก็ไม่เป็นไร เพราะอาชีพหลักที่จะทำคือแพทย์ ส่วนงานแสดงทำเมื่อมีโอกาสเข้ามา

แบบทดสอบทั้งสามอย่างนี้ทำโดยนักจิตวิทยาคลินิกที่มีใบประกอบวิชาชีพ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (ขอพักครึ่งยืดเส้นยืดสายได้นะคะ) หลังจากนั้นจะมีเอกสารสรุปผลการทดสอบ และมีการนัดฟังผล ซึ่งพี่นักจิตจะให้คำแนะนำเบื้องต้นได้ว่าจะเข้าคณะไหน เรียนอะไรดี หรือถ้ามีเรื่องเครียดกังวลใจสามารถปรึกษาได้ หากมีอาการอื่นๆที่สงสัยว่าจะต้องดูแลเพิ่มเติมเป็นพิเศษจะมีการปรึกษาให้จิตแพทย์ช่วยดูแลต่อค่ะ



Credit :

ปรึกษาแนวทางการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางและนัดหมายแพทย์

ช่องทางการติดต่อ · โทรศัพท์: 090-959-9304 · LINE: @JOYOFMINDS